Sunday 30 September 2007

Just Another Day : My First Investment

จู่ๆชั้นก็เกิดไอเดียที่อยากจะลงทุนด้านอสังหาเหมือนกับ "เค้า" แต่แน่ล่ะ ชั้นคงไม่มีปัญญาจะเทียบรัศมีเค้าได้ ก็ชั้นเพิ่งจะเริ่มจับมันเดี๋ยวนี้เอง

เมื่อสองอาทิตย์ก่อน พ่อพาชั้นไปดูโครงการคอนโดที่เพิ่งเปิดตัวริมคลองประปา ถนนประชาชื่น ตอนที่ได้ยินชั้นก็เฉยๆ พ่อแค่ถามว่าแมทเค้าจะสนใจมั้ย
ชั้นก็ตอบไปว่าคงไม่หรอก พ่อว่าพ่อเองกำลังจะจองคอนโดให้ตัวเองที่นี่ ชั้นก็เลยไปดูด้วย ไหนๆก็อยู่ว่างๆ



สิ่งทีทำให้ชั้นสนใจขึ้นมาหลังจากไปเดินดู ก็คือเงื่อนไขการจ่ายแบบ
สบายๆ เงินก้อนใหญ่ไม่ต้องวางทันที ส่วนทำเลก็มีส่วนใน
การตัดสินใจมาก คอนโดนี้ตั้งอยู่ติดกับ โฮมโปร เทสโก้โลตัส ส่วนราคาก็ถือว่าไม่แพงเมื่อเทีี่ยบกับคุณภาพ ชั้นว่ามันสมเหตุสมผล อีกอย่าง ชั้นไม่มีงานทำในช่วงนี้ ชั้นว่าการที่เราจะมีอะไรเป็นของตัวเอง มันก็ดูมั่นคงกับชีวิตดี ชั้นตั้งใจที่จะซื้อคอนโดนี้เพื่อการลงทุน เอาไว้ให้คนเช่า เผื่อว่าแก่ๆแล้ว ตายาย อย่างชั้นและเค้า อาจจะมาอยู่กันยามเบื่อก็ได้



หน้าตาของห้อง ทำให้ชั้นลังเลที่จะซื้อขนาดใหญ่ แต่เมื่อคิดแล้ว ถ้าคิดรจะทำเพื่อการลงทุน ต้องให้ต้นทุนถูกเข้าไว้ ห้องเล็กนี่แหละเหมาะสุด จุดขายของห้องนี้ถ้าจะให้คนเช่าคงจะอยู่ที่ทำเล และสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าขนาดของมัน

มันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะ สำหรับการลงทุนครั้งแรก มีสามีเป็นกุนซือจะห่วงอะไรอีกเล่า วันนั้นชั้นไม่รอช้าที่จะโทรข้ามแดน ไปปรึกษาทันทีแต่ด้วยความต่างของทั้งระบบซื้อขายและวัฒนธรรม...กว่าจะเข้าใจ
เล่นเอาโกรธกันเพราะเข้าใจกันไปคนละอย่าง แต่ในที่สุด มันก็ผ่านไปได้ด้วยดี เฮ้อ...อยากจะเป็นนักลงทุนก็วุ่นงี้แหละ

Hi Matt

Here is the link for you to have a look at http://www.lpn.co.th/th/ourproject/viewitem.aspx?pid=78

Maybe you didn't hear me properly, so I'm gonna tell you again about this project.

The process of purchase is pretty common in Thailand. Firstly, you have to register to put your name in the queue. I did this process today. Next Saturday, they will do some draw so the first person have an opportunity to choose which room you want first. On that day, have to pay 20,000 baht. Then in the next 2 weeks (or less), have to sign the contract and pay another 50,000 baht. After that for one year, have to pay 4,100 per month (as a down payment).

When the condo is finished, I can decide whether I want to continue paying for the rest of the money (by renting it out) or I want to re-sell it to other people. The reason I'm interested in it because

1. The location is very good. It's next to Home Pro/Tesco Lotus, 2 hospitals, many shops. (On the same road as my dad's soi.)
2. Don't have to spend big amount of money at one time.
3. The Lumpinee Ville is one of the most reliable and popular company in Thailand
4. I want to have something for myself as I don''t have any income and no saving.

You will feel better if you are here to have a look what it's like but by that time it will be too late for booking.

Thursday 27 September 2007

Just Another Day : That's My Boy

การเกิดใหม่ มาพร้อมๆกับการตายจาก...อวสานนมแม่ของชั้นและเคหลิบก็เกิดขึ้นในคืนกลางดึกของวันที่ 25...มันทรมานเหลือเกินที่เราสองคนต้องยุติสิ่งดีๆที่มีให้กันมานาน แต่ชั้นจำเป็นต้องทำ ชั้นเจ็บเกร็งๆที่มดลูกทุกครั้งเวลาลูกกินนมในระยะหลังๆ นั่นเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ชั้นต้องตัดใจ "หักดิบ" เพื่อที่เราทุกคนจะได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า

เคหลิบร้องไห้ดังที่สุดตั้งแต่ชั้นเคยได้ยินมา ชั้นได้แต่บอกลูกว่า แม่เจ็บ หนูต้องหยุดนะลูก น้องจะได้มาอยู่กับเรา เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ซักพักเคหลิบหยุดร้องไห้ เดินลงไปจากเตียง "จะไปไหนน่ะ"​ชั้นถามลูก เคหลิบเดินไปในความมืด แล้วตรงไปที่กล่องนมที่กินค้างอยู่บนโต๊ะ แล้วก็ดูดเอาๆ พอดูดเสร็จ ก็กลับมาร้องใหม่ ชั้นตัดสินใจอุ้มเคหลิบเดินวนไปวนมา ลูกร้องแล้วร้องอีกจนเริ่มเหนื่อย เวลาผ่านไปอีกซัก 20 นาที เคหลิบก็หลับคาไหล่ชั้นไป...

หลังจากคืนนั้นเคหลิบไม่แตะ ไม่ขอนมจากชั้นอีกเลย ชั้นแทบไม่อยากเชื่อว่า ลูกจะทำได้ เราสองคนกอดกันบ่อยขึ้น หอมกันบ่อยขึ้น ลูกไม่ได้โกรธชั้นเลย ชั้นไม่รู้หรอกว่าลูกเข้าใจหรือเปล่าว่า "ทำไม" เราถึงต้องหยุดนมกัน แต่สิ่งที่ได้จากลูกทำให้ชั้นภูมิใจกับความเข้มแข็งของลูกมาก

วันนี้ลูกคงยังไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ลูกยอมเสียสละวันนี้มันมีค่ามากแค่ไหน หนูจะภูมิใจในตัวเอง เมื่อวันนึงที่หนูโตขึ้น หนูช่วยให้น้องปลอดภัยนะลูก

I'm so proud of you, Caleb.

Tuesday 25 September 2007

Just Another Day : Compulsary Fight ขึ้นสู่สัง(วิง)เวียน

25/9/07

ใครจะไปคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง การตัดสินใจเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือน นี่ยังไม่ทันจะสิ้นเดือน ชั้นถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว นวมเนิมไม่ทันได้เลือก ก็ต้องออกโรงรับมือกันยกใหญ่ซะแล้ว

เมื่อเกือบๆอาทิตย์ที่ผ่านมา ชั้นรู้สึกมึนๆ หมุนๆ เป็นตะคริว บางวันก็มีอาการคลื่นไส้ ชั้นคิดว่าอาการก่อน Red Army จะบุกมักจะเป็นอย่างนี้ ชั้นมักทำเป็นตลก (ฝืดๆ) กับคนรอบข้างว่า "ถ้าเกิดส่ิงที่ชั้นคิดมันเป็นจริง ก็วิ่งหาว่าใครเป็นพ่อวุ่นเลยสิ" ก็แหม...แมทเพิ่งกลับไปนิวซีแลนด์เมื่อวันที่ 11 ก.ย. นี่เอง จะให้ชั้นป่องกับใครได้

แต่ความน่าจะเป็นก็เป็นไปได้ จากลางสังหรณ์ผสมกับประสบการณ์ ชั้นไม่รีรอที่จะหากรรมการมาตัดสิน เช้านี้ผลออกมาอย่างเอกฉันท์ "สองเส้น" นะคร้าบบบบ ท่านผู้เชียร์

เป็นอันว่าชั้นกลับขึ้นมาสู่สัง(วิง)เวียนนี้อีกครั้ง พร้อมมั้ย แน่ล่ะ ชั้นเคยมาแล้ว ครั้งนี้ชั้นจะสนุกยิ่งกว่าเก่าซะอีก ชั้นจะไม่ใช่ คุณแม่มือใหม่อีกต่อไป



Spooky Bits : Both times...Found out in September
Both times...I went out for lunch with a friend the day before
Both times...Hubby is away
Both times....He will be back in 2 months!

Just Another Day : Lunch with Newtampo (24/9/07)





ในที่สุดเพื่อนเราก็จะได้ออกท่องโลกและมีอิสระกับชีวิตอย่างเต็มที่ สบโอกาสได้ทีตอนสามีหนี เราเลยแอบไปออกเดทกัน ไม่มีอะไรมาก กินกันมันส์ดี อยากให้เพื่อนโชคดีกับการเดินทาง การตัดสินใจของมันแน่มาก จะมีกี่คนที่กล้าทำ ขอให้มันมีประสบการณ์ดีๆกลับมาเป็นกอบเป็นกำ (จะกลับมาเปล่าเหอะ) ยังไงเพื่อนและหลานๆจะรอเจออีกครั้ง....

Thursday 5 July 2007

Divine Day : It's the history but I'm still proud of it (30/1/03)

R44421 Jutamas Tadthiemrom

10A Rintoul Street
Newtown Wellington

30 January 2003

Dear Ms Lindsay/Ms. Sue

I found your job advertisement through job alert email from Seek.com. What caught my eyes from the whole job lists I’ve got was the word ‘Market Research’. I am very interested in Junior Researcher Position (R 44421) as it was my latest position before I moved here due to my partner’s business.

After graduating from the University of Northumbria (UK) in Master of Arts in Marketing, I had been involving in researching business as the user and the producer for 3 years. My working experience at ACNielsen (Thailand) as a Research Executive not only provided me analytical skill but also time and people management skill since we had to handle numbers of projects within the limit of timeframe. Solving the unexpected problems that occurred during working process was another skill I have got from all places I worked for. Keeping good relationship and being service-minded to clients were additional task for me as well.

Working in research field is fascinating to me since it is the mixture of science and arts.
It is challenging to deliver good report to clients with straightforward and reliable but gentle at the same time. Additional, I consider being the person who supports marketers with market insight is the important role as well.

Last but not least, I would appreciate if you kindly review my CV for more details of my achievement. Please grant me an interview and let me introduce myself into the New Zealand job market. Thank you in advance

Regards,
Jutamas T.

Divine Day : My first interview (11/2/03)

It’d been about a week that I didn’t hear from the recruitment company where I had the interview. I had applied for a market researcher position. Even though it was the same company and position I had before at ACNielsen Thailand, I wasn’t confident as I realised that my English wasn’t good enough compared to the natives.

Initially, I found this job from the job search site. I was excited when I saw the job description as it sounded really similar to what I did. I didn’t wait a sec to send them the introduction letter and the CV. Of course, I didn’t let them know yet that I didn’t have a residency which allowed me to work legally. Surprisingly, I got a call from the recruitment company to have the first interview with them.

I didn’t have to struggle much to pass the interview. The questions were not difficult to answer such as “Tell me about yourself”, “How long have you been in New Zealand?”, “Are you comfortable working with figures?”, “ Why should the company choose you?”, “What account did I work with?” “Tell me about your favourite case” I could get into the second round a week later. That time, I had the interview with people I would work with if I passed the interview. They were nice but I knew I was too panic to talk to them properly. I couldn’t guess what result would turn out but I just hoped for the best...

นี่มันก็ผ่านไปอาทิตย์นึงละ ชั้นก็ยังไม่ได้ยินข่าวจากบริษัทจัดหางานที่เค้าเรียกชั้นไปสัมภาษณ์มา ชั้นไปสมัครงานตำแหน่ง market researcher ที่ชั้นเคยทำมาก่อนสมัยอยู่ที่ ACNielsen ที่เมืองไทย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นบริษัทและตำแหน่งเดียวกันที่ชั้นทำมาก่อน แต่ชั้นก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะได้งานเพราะว่าภาษาอังกฤษของชั้น
ก็คงจะสู้คนที่นั่นไม่ได้

เริ่มแรกเดิมที ชั้นเจองานนี้ผ่านทางเว็บหางาน ชั้นตื่นเต้นมากตอนที่ชั้นอ่านเจอ job description เพราะว่ามันตรงกับงานที่ชั้นทำมาเป๊ะๆ ชั้นไม่รอช้าที่จะส่งจดหมายแนะนำตัวและ CV ผ่านทางเว็บไซต์นั้น แน่นอน ชั้นไม่ได้บอกไปหรอกว่าชั้นยังไม่มี residency วีซ่าที่ชั้นสามารถจะหางานทำได้อย่างถูกก.ม. ชั้นก็แค่อยากลองทำอะไรสนุกๆ หาเรื่องตื่นเต้นไปงั้นเอง แต่แล้วสิ่งที่ชั้นไม่อยากเชื่อก็เกิดขึ้น บริษัทจัดหางานก็เรียกชั้นเข้าไปสัมภาษณ์อีกไม่กี่วันต่อมา

การหางานของชั้นครั้งนี้ บริษัทจัดหางานเป็นผู้ลงประกาศ โดยที่พวกเค้าจะช่วยบริษัทตัวจริงคัดเลือกคนก่อนขึ้นเขียง
ด้วยการสัมภาษณ์รอบแรก ความเกร็งของชั้นเลยไม่มี คำถามแต่ละอย่างก็พื้นๆ เช่น ไหนลองเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังซิ มาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว ทำงานกับตัวเลขได้เปล่า คิดว่าตัวเองมีดีอะไรให้บริษัทเลือกไปร่วมงานด้วย เคยทำงานให้กับบริษัทไหนบ้าง เล่าถึงเคสที่ชอบให้ฟังหน่อย ชั้นเล่าให้เค้าฟังเหมือนคุยกับเพื่อน ชั้นเลยผ่านสัมภาษณ์ครั้งนั้นไปสู่การสัมภาษณ์ครั้งที่สองในอาทิตย์ถัดมา คราวนี้ล่ะ ชั้นต้องเข้าสัมภาษณ์กับคนที่ชั้นต้องทำงานด้วย (ถ้าชั้นผ่านสัมภาษณ์) พวกเค้าน่ารักนะ แต่ชั้นชั้นประหม่าและกดดันสุดๆจนทำให้ชั้นพูดติดๆขัดๆ ชั้นเดาไม่ออกเลยล่ะ ว่าชั้นจะผ่านสัมภาษณ์คร้งนี้หรือเปล่า แต่ชั้นก็หวังว่าผลลัพธ์มันจะออกมาดีที่สุด…

Sunday 1 July 2007

Just Another Day : แมวขโมย

อยู่ๆก็มีเรื่องลัดคิวมาลงบลอก...

เมื่อเช้านี้อาโทรมาจากชุมพร ถามไถ่ว่า "เมื่อไหร่จะลงมาเยี่ยมที่ร้านซะทีอ่ะ" ชั้นบอกว่าประมาณกลางเดือน ตอนนี้กำลังรวบรวมพลพรรคทั้งไทยและเทศเตรียมตะลุยใต้ อาโทรมามีเสียงร้อนรนจนเราอดถามไม่ได้ว่า "มีอะไรตื่นเต้นเปล่าอ่ะ" ....มีสิ มีจนชั้นเต้นพราดๆอยากลงใต้ซะพรุ่งนี้เลย

เรื่องมีอยู่ว่า ตอนนี้อาของชั้นกำลังเปิดร้านอาหารที่ชุมพร ร้านก็ไม่ใหญ่ไม่โต เปิดตัวได้เกือบปีแล้ว ร้านนี้อยู่ห่างจากทำเลทองของตัวเมืองชุมพร แต่เรื่องระยะทางกลับไม่ใช่ปัญหาของธุรกิจของอาชั้นเลย แต่ปัญหาของอาก็คือ เมื่อไม่นานมานี้มีแมวขโมยมันมาอาละวาด

อาเล่าว่าเมื่อวันก่อน เจ้าของร้านขายดีประจำเมืองมาเยี่ยมที่ร้าน เจ้าของร้านคนนี้เคยพยายามขายธุรกิจของเธอให้กับชั้น แต่ด้วยความปลิ้นไปปลิ้นมาของหล่อน ทำให้ชั้นเทกระจาดไม่เซ็นสัญญาซื้อขายซะดื้อๆ จากวันนั้นถึงวันก่อนนี้ หล่อนก็เพิ่งย่างกรายมาดูกิจการอีกที่ที่ชั้นลงทุนไว้ให้กับอา

อาบอกว่าเค้ามาฉอเลาะเอ๊าะแอ๊ะแบบแด๊ะๆของเค้าไปตามประสา อาบอกว่าแอบรำคาญแต่ไม่รู้จะทำไง หล่อนบอกว่าให้อาไปช่วยจัดสวนแบบที่อาทำที่ร้านให้หน่อย อาก็รับปากไป แต่ก็ไม่คิดจะไปทำจริงจัง หลังจากนั้นหล่อนก็ขอสำรวจร้าน สำรวจครัว ทั่วไปหมด

จนกระทั่งวันนึง อาก็ผ่านเข้าไปที่ร้านเค้า สิ่งที่อาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น อาบอกว่าเค้าได้หา option พิเศษในการทำครัวมาทำบ้าง ไอ้เรื่องนี้ก็พอหยวนๆ แหม อุปกรณ์ทำครัวมีอยู่ทั่วโลก ใครมีตังค์ก็หามาติดตั้งได้ แต่ขอโทษร้านอาชั้นก็ยังได้มาถูกกว่า อิอิ แต่นั้นมันก็ยังไม่ได้ทำให้ชั้นเต้นพราดๆหรอก

แต่สิ่งที่ช็อคอาและชั้นก็คือ เมนูเด็ดของอากลับไปแผ่หราอยู่ในเมนูของเค้าอย่างภาคภูมิใจ เมนูที่ว่าก็คือ "สปาเกตตี้ผัดไท" เอาล่ะ ใครมาอ่านอาจจะเถึยงว่า โหย ร้านอื่นก็ทำเยอะแยะ แต่ถ้าที่ชุมพรล่ะก็ ชั้นรับรองว่าไม่มีใครทำแน่

เมื่อโดนจับได้แบบคาหนังคาเขา เจ้าหล่อนถึงกับหัวเราะแหะๆ แล้วก็บอกว่า "แหมๆ ขอขโมยไอเดียมาหน่อยนะ เห็นแล้วมันอยากหม่ำเอง" อาได้ยินถึงกับนิ่งอึ้งไป ไม่รู้จะตอบโต้ยังไง

ชั้นได้ยินตอนแรกก็หัวเราะ บอกไปว่า ยังดีนะว่าเค้ายอมรับ ดีกว่าเอาไปทำหน้าด้านๆแล้วตอแหลไม่รู้ไม่ชี้ แต่จริงๆแล้วชั้นเข้าใจดีเลยล่ะ ว่าอารู้สึกยังไง

ชั้นก็บอกอาไปว่า ชั้นคิดว่าต้องมี "คนไปร่ำลือ" แน่ๆว่าอาหารร้านอาอร่อย ไม่งั้นมันไม่มาถึงที่หรอก คิดดูสิเปิดมาเกือบปีเพิ่งโผล่หน้ามา ชั้นบอกอาต่อไปว่า ถึงเราจะเปิดร้านมาไม่นานเท่าเค้า แต่ด้วยพรสวรรค์ที่ติดตัวมาของอา ชั้นเชื่อว่าอาหารที่อาทำอร่อยกว่าแน่นอน คนที่ชอบของๆอาก็คงไม่ไปชอบของๆเค้า ขอให้อามั่นคงกับจุดยืนของเรา ที่เราต้องทำการค้า ไม่ใช่ไปแข่งกันเด่นดัง เรื่องเด่นดังเป็นเรื่องที่เราจะได้เองโดยไม่ต้อง"พยายาม" ให้มากนัก

ชั้นไม่รู้ว่าสิ่งที่ชั้นพูดมันจะช่วยให้อาเย็นลงมั่งมั้ย แต่ชั้นเองนี่แหละ เต้นเร่าๆอยากจะไปประจันหน้าคู่ปรับเก่าจะแย่ละ หมาตัวนี้ (และอีกสองสามตัว) ขอบุกใต้ไปกัดนังแมวเหม็นให้เหวอะหวะหน่อยเห๊อะ

คุณอ๊อดคะยังจำอวนได้มั้ยคะ?

P.S. English readers, hang in there I'm gonna write one in English soon!
P.S. 2 Decided not to write in English as I couldn't express it in the same feelings LOL

Tuesday 12 June 2007

Just Another Day: A Postcard From Narkakot


My dear New,

Thank you so much for your lovely postcard. I received it yesterday but for some reason I forgot to let you know. I've been so busy lately. How wonderful your trip was. I think it's unique and very interesting. You're such a lucky girl to have a chance to explore "real life & real face" of Nepal. From what you told me, I think it's so cool you have learned their cultures from their local food and the native! Wow, I wish I could have the trip like yours once before I die! Great job girl. You're real traveler.

Aun

P.S. I really want to read more of your adventure in your travel blog, but I probably won't have enough time to do so. Will do it as soon as I arrived Thailand. See you soon!

Thursday 7 June 2007

Old Day : Life In The Room


" Everything is open
Nothing is set in stone
Rivers turn to ocean
Oceans tide you home
Home is where your heart is
But your heart had to roam
Drifting over bridges
Never to return
Watching bridges burn
You’re driftwood floating underwater
Breaking into pieces pieces pieces
Just driftwood hollow and of no use
Waterfalls will find you bind you grind you
Nobody is an island
Everyone has to go
Pillars turn to butter
Butterflying low
Low is where your heart is
But your heart has to grow
Drifting under bridges
Never with the flow
And you really didn’t think it would happen
But it really is the end of the line
So I’m sorry that you turned to driftwood
But you’ve been drifting for a long long time
Everywhere there’s trouble
Nowhere’s safe to go
Pushes turn to shovel’s
Shovelling the snow
Frozen you have chosen
The path you wish to go
Drifting now forever
And forever more
Until you reach your shore
You’re driftwood floating underwater
Breaking into pieces p ieces pieces
Just driftwood hollow and of no use
Waterfalls will find you bind you grind you
And you really didn’t think it would happen
But it really is the end of the line
So I’m sorry that you turned to driftwood
But you’ve been drifting for a long long time
You’ve been drifting for a long long time
You’ve been drifting for a long long
Drifting for a long long time"





ปี 1999 นอนฟัง Driftwood บนเตียงใน flat ที่ Newcastle เริ่มชินกับการใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว ทั้งๆที่มีคนเยอะแยะให้คบหา มีความสุขที่จะนอนฟังเพลงที่ตัวเองชอบ วนไปวนมา โดยที่ไม่ต้องสนใจโลกภายนอก ไม่สนใจว่าจะสอบเมื่อไหร่ ไม่สนใจว่า assignment จะส่งตอนไหน ไม่สนใจว่าต้องออกไปเที่ยวกับใคร ไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองเราว่าไง ชอบ Travis ไม่รู้ไม่เห็นหน้าตาเป็นไง ฟัง Travis หมดอัลบั้มทีไร อยากไป Scotland ทุกที




" I want to see what people saw
I want to feel like I felt before
I want to see the kingdom come
I want to feel forever young
I want to sing
To sing my song
I want to live in a world where I belong
I want to live
I will survive
And I believe that it won't be very long
If we turn, turn, turn, turn, turn
Then we might learn
So where's the stars?
Up in the sky
And what's the moon?
A big balloon
We'll never know unless we grow
There's so much world outside the door
I want to sing
To sing my song
I want to live in a world where I'll be strong
I want to live
I will survive
And I believe that it won't be very long
If we turn, turn, turn, turn, turn
And if we turn, turn, turn, turn
Then we might learn
Turn, turn, turn, turn
Turn, turn, turn
And if we turn, turn, turn, turn
Then we might learn
Learn to turn"




ปี 2000 นั่งมองแม่น้ำ Thames จากห้องเช่าถูกๆ ฟัง Turn แล้วจิตใจกึ่งห่อเที่ยวกึ่งตึ้นตันเข้ากับอากาศสีเทาๆของที่นี่ มาตอนนี้รู้แล้ว Travis หน้าตาเป็นไง ชีวิตในเมืองใหญ่ ทำงานทุกวัน เหนื่อย แต่ไม่อยากกลับบ้าน ชีวิตที่นี่ดึงดูดให้เราอยู่ต่อไป จุดหมายในชีวิตใหญ่เกินไป ไม่อยากไปถึงมัน







Sunday 3 June 2007

Just Another Day : Bloggang V.S. Blogspot (End)

ข้ามมาอีกทีปี 2006 ชั้นได้มารู้จักกับ Bloggang ชั้นก็งงๆอีกล่ะ กับการที่จะเขียนเรื่องแล้วมีคนที่ไม่รู้จักมาอ่าน ชั้นจะเรียกตัวเองว่ายังไง เสียงของชั้นควรเป็นยังไง แต่ชั้นขึ้เกียจคิดนาน ชั้นก็เริ่มๆเขียนบลอกที่ Bloggang แบบไม่ค่อยจะลงตัว แต่ก็สนุกดีเวลามีคนมาคอมเมนต์และรับรู้เรื่องราวที่ชั้นอยากจะสื่ออกไป

หลังจากเขียนบลอกที่ Bloggang ได้เก้าเดือน ชั้นก็เริ่มรู้สึกแปลกๆกับการเขียนบลอกอีกครั้ง เป็นเพราะว่าชั้นเริ่มมีความเกรงใจขึ้นมาอีกแล้ว ชั้นเริ่มมีเพื่อนที่นั่น ทำให้ชั้นเริ่มรู้สึกว่าชั้นต้องระงับในส่ิงที่ชั้นอยากจะ “พ่น” ต้องระงับในสิ่งที่ชั้นอยากจะแสดงออกทางด้านความคิดเพราะมันอาจจะไป offense คนอื่นแบบที่ไม่ตั้งใจ ชั้นต้องเก็บเรื่องที่สนุกสำหรับตัวชั้น (แต่น่าเบื่อสำหรับคนอื่น)ไว้กับตัวเอง มันเป็นสัญชาติญาณของชั้นเวลาที่ชั้นต้องสื่อสารกับคนอื่นๆ (แต่ชั้นก็ชอบที่จะสนใจเรื่องคนอื่นนะ ไม่รู้ทำไม)

ชั้นเริ่มไปหาช่องทางอื่นๆที่ชั้นจะระบายเรื่องต่างๆที่ชั้นอยากเล่าอยากเขียน ชั้นไปเปิดบลอกไว้มากมายหลายที่ แต่ชั้นก็ไม่ได้เริ่มทำอะไรกับมันจริงจังเลย ชั้นว่าชั้นเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ตอนนั้นมันเป็นแค่่ ความรู้สึก ของชั้นที่ต้องหาที่อยู่ใหม่แต่ชั้นยัง คิด ไม่ออกว่าทำไมชั้นถึงต้องทำแบบนี้

จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ชั้นไปค้นเจองานเก่าๆของชั้นสมัยทำเว็บส่วนตัว ชั้นว่ามันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีถ้าชั้นเอามันมาชุบชีวิตอีกครั้ง อีกอย่างชั้นจะได้ไม่ทิ้งภาษาอังกฤษด้วย เวลาที่ชั้นไม่ได้เขียนภาษาอังกฤษนานๆแล้วชั้นรู้สึกว่า
ภาษาชั้นมันถดดอยไปเยอะทีเดียว

ฺBlogspot เลยเป็นที่ที่ชั้นเลือกที่จะได้แสดงความคิดอ่าน ความรู้สึก และความเป็นตัวของชั้นเอง และที่สำคัญชั้นจะได้มีที่ไว้เล่าเรื่องน่าเบื่อๆของชั้นแบบไม่ต้องเกรงใจใคร

แต่ถามว่าชั้นจะเลิกเขียนที่ Bloggang รึเปล่า ชั้นว่าชั้นก็คงไม่เลิก ถามว่าชั้นเป็นตัวเองมั้ยที่ Bloggang คำตอบก็คือ เป็น แต่เป็นในเวอร์ชั่นที่ชั้นต้องเจอผู้คน

ถ้าให้ชั้นสรุปและเปรียบเทียบง่ายๆ Bloggang ก็เหมือนกับการที่ชั้นต้องแต่งตัวออกไปงานเลี้ยง ไปเที่ยว ไปซื้อของนอกบ้าน ที่ต้องมีคำว่า กาละเทศะและความเกรงใจ ควบคุมอยู่บนความเป็นตัวชั้น

ส่วน Blogspot ก็เหมือนเวลาชั้นอยู่บ้าน จะแต่งอะไรก็ได้ตามที่ชั้นรู้สึกสบาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นแก้ผ้าเดิน เพราะชั้นก็คงมีความละอายใจอยู่บ้าง

แล้วถ้าอยากจะเห็นชั้นแบบแก้ผ้าเดินล่ะ จะหาดูได้ที่ไหน เสียใจด้วยค่ะ คุณไม่ใช่สามีชั้น เค้าเป็นผู้โชคร้ายที่ต้องรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับชั้น 555

ชั้นคิดว่าหลังจากนี้ชั้นน่าจะลงตัวกับการทำบลอกของชั้นแล้ว การเขียนก็เป็นเหมือนการบำบัดโรคจิตเล็กๆของชั้น เห็นใจชั้นเถอะ

In 2006, I got myself into “Bloggang”. I was a bit confused with the way I should write to people I don’t know. What should I call myself? What voice I should use? But I didn’t take much to craft all of that. I kicked off my writing there in the unusual and not proper way. Anyway, I enjoyed having some comments and seeing people come in to read what I say.

After 9 months, I started to have some funny feelings again with “the blog”. I started to feel that I have to control what I want to speak up. I have to control the way I express my thought as I was afraid it might be offensive, unintentionally. Sometimes I feel like I want to keep my interesting stories (which are boring to others) with myself because that is my natural instinct when I have to communicate with other people. I started to feel uncomfy again.

I kept searching for other channels I can vent out what I want to say. I signed up at many blog sites but I haven’t really created anything just yet. I think I didn’t even know what’s going on in my mind—it was just some “feelings” that I needed to do something new.

Recently, I found my old projects I was once working with it as a personal website.I think it would be a good idea to bring it to life once again. Moreover, it will be good way I can keep practicing my English as it started to be poorer.

“Blogspot” seems to be the chosen channel I will express my boring self to the extreme!

Will I stop blogging at “Bloggang”? I don’ think so. Am I myself when I blog there?
YES but it’s in the “mingle version”

Let me put it this way, I can compare “Bloggang” with the way I dress up when I go out of home. Whether it’s a party, shopping, or eating out, I still dress up in my own style but it’s under the social customs/norm.

While “Blogspot” is like the way I dress up when I’m home. Anything that I feel comfy with but it’s not bare all.

So where can you find “ Aun bares all version”? Sorry only the hubby is allowed to see that!

To sum up, I think I’m happy with the way I choose to blog now :D I think writing is a little therapy for me.

Friday 1 June 2007

Just Another Day : Bloggang V.S. Blogspot (1)

ถ้าใครได้ผ่านเข้ามาอ่านบลอกนี้คงจะสงสัยว่า อวนแกจะมีบลอกทำไมหลายๆที่วะ กว่าชั้นเองจะเรียบเรียงและค้นพบเหตุผลก็พยายามอยู่พักใหญ่ทีเดียวล่ะ แต่ชั้นคิดว่าตอนนี้ชั้นคงบอกได้แล้วว่าคำตอบมันคืออะไร

แรกเริ่มเดิมทีชั้นเขียนบลอกครั้งแรกเมื่อปี 2004 ตอนนั้นชั้นทำมันออกมาในรูปของเว็บส่่วนตัว ตอนนั้นชั้นไม่รู้ว่าชั้นจะต้องเอาเรื่องราวของชั้นไปโฮสต์ไว้ที่ไหน ทำใส่เว็บตัวเองนี่แหละง่ายดี

ชั้นเป็นคนชอบเขียน ชั้นว่ามันเริ่มจากการเขียนจดหมายตั้งแต่ชั้นยังเด็กๆอยู่ คิดว่าตอนนั้นชั้นอยู่ป. 4 มั๊ง ชั้นมีเพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน ตอนปิดเ่ทอมเรามักจะเขียนจดหมายหากัน หลังจากส่งจดหมายเรามักจะโทรบอกกันว่า “ชั้นเพิ่งไปส่งจดหมายมานะ ได้รับแล้วโทรมาบอกด้วย”

ยิ่งตอนชั้นได้ไปเรียนต่อ จดหมายและอีเมล คือสิ่งที่ทำชั้นมีความสุข ชั้นสนุกกับการบอกเล่าเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวชั้น และชั้นก็มีความสุขที่ได้อ่านเรื่องราวของเพื่อน การโต้ตอบเป็นสิ่งที่ทำให้การสื่อสารไม่หยุดนิ่ง

แต่ เมื่อเราโตขึ้น การที่จะหาคนที่มีเวลามานั่งโต้ตอบเมลของเรามันก็หายไปทีละคนสองคน แต่่ละคนก็จะมีธุระปะปัง ความจำเป็นอื่นๆที่ต้องทำนอกเหนือไปจากการนั่งตอบเมล เหตุผลนี้ชั้นเข้าใจดี ชั้นไม่ได้มานั่งน้อยใจเพื่อนหรอกนะ

สมัยก่อนการเขียนของชั้นจะออกมาในรูปของจดหมายและอีเมล ตามปกติเวลาชั้นเขียนเมลหาเพื่อนชั้นมักจะละเรื่องที่เป็นความสนใจส่วนตัว หรือเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ ชั้นกลัวว่าเพื่อนจะเบื่อและขึ้เกียจอ่าน ชั้นรู้สึกได้น่ะ บางคนอาจคิดว่าชั้นไม่เล่าเรื่องของชั้นเพราะชั้นเห็นว่ามันเป็นความลับ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่เลย

ชั้นแค่รู้สึกว่าคนอื่นๆคงไม่ได้อยากจะสนใจ “เรื่องส่วนตัว” ของชั้นซักเท่าไหร่ ชั้นไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญของโลก เรื่องของชั้นไม่ได้สนุกสุดเหวี่ยง ชั้นกลัวว่าเรื่องราวของชั้นจะทำให้คนอ่าน (ซึ่งก็คือเพื่อนๆของชั้นนั่นแหละ) เบื่อ และ เกรงใจที่จะต้องอ่านมัน แต่บางทีก็มีบ้างที่ชั้นก็ระบายเรื่องของชั้นอย่างสุดๆให้เพื่อนอย่าง นุ่น จุฑารัตน์, มิ้งค์ และ นิว ฟังอยู่บ่อยๆ

แต่ความเกรงใจก็ยังมีอยู่ดี ชั้นไม่ได้ทำงานเหมือนคนอื่น ชั้นยุ่งแต่ก็ยังมีเวลาว่าง ชั้นว่าเพื่อนๆเหนื่อยจากการทำงานมากพอแล้ว ไม่อยากจะให้เพื่อนๆต้องเกรงใจตามมาอ่านเรื่องเล็กๆน้อยๆของชั้น ชั้นไม่อยากเพิ่มภาระให้กับพวกเค้า

แต่ชั้นไม่สามารถหยุดความอยากเขียน อยากเล่าของชั้นได้ นี่แหละ คือเหตุผลว่าทำไมชั้นถึงอยากมีบลอกเป็นครั้งแรก

การทำบลอกของชั้นเป็นไปอย่างสนุกสนาน ชั้นใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักเพราะแมทเองก็อยากรู้ว่าชั้นเขียนอะไรไปบ้าง แต่การที่เขียนเองและอ่านเอง ชั้นว่ามันก็แปลกๆอยู่ รวมไปถึงช่วงนั้นชั้นก็เริ่มเบนความสนใจของชั้นไปทำเรื่องอื่นๆ เว็บส่วนตัวของชั้นก็มีอันล้มพับดับสูญไป…

If you happened to pop in here you must have a question “Why does Aun need 2 blog sites for?” Well, after I put my effort to figured out and arranged what has been on my mind, I think I can tell you (and myself) the answer.

I started writing a blog in 2004. Back then it came the form of personal webpage as I didn’t know where I could host my blog to.

Writing is my passion. I don’t know if it’s good or crap but it’s the way that I can express what’s on my mind or what’s happening with me.

Many people thought that I was a private person because I didn’t like to reveal all of my personal stuff to them. No not at all. I would love to express it if I’m sure someone is willing to listen.

I just feel like people are not that into in other people’s personal stuff that much especially that I am not the important person of the world. My story can’t make you laugh your arse off, in fact I’m afraid it would bore you to death. On top of that, people don’t have all day to spend with what I write. They have their own lives to lead too. Fortunately, I still got some email buddies like Noon (KUS), Mink and New to vent some boring things with.

However, I still feel bad to share my stuff to them all the time. I am a housewife while others have work to be responsible with. I don’t want to put more “workload” or “chore” for them to be worried about…

I needed a solution to fix my desire of expression. That’s why my blog was originally born in 2004. I enjoyed blogging for awhile until I started to feel strange with the way I did. Writing and reading by myself was too mundane to go on particularly when I had some other interests distracting me. Finally, my blog website had reached the end…

Tuesday 29 May 2007

Divine Day : Some moment before the decision (23/10/02)

I let my mind wander around some old memories, hoping that I would discover some way out. Exploring into past memories was such a hard work. So many piles of reminiscence I had to unfold. Pile after pile, finally, I bumped into the recent event, which was my best friend’s birthday in June 2002. A single woman, whose dream was having a pet, living alone in her spacious house needed something to fill her gap. I remembered that I had to find her a gift.

It was 8.30 o’clock in the morning; Jatujak Weekend Market wasn’t crowded just yet. I parked my car and walked through the pet section. The entrance of the section welcomed me with several aquariums containing a wide range of colourful fish. The sellers were occupied with arranging the cardboard boxes and rapidly sweeping the concrete floor. The small fog of dust encouraged me to walk away from the beginning of the section. I had no idea about what to look for—what would my friend love? I glanced as I was pacing through each shop; everywhere looked the same with small puppies and some fish.

“Unique tortoise, only one for sale” shouted the middle aged guy with a big belly from the shop on my left. My curiosity was aroused. “Young lady come here, take a look. It’s okay if you don’t buy it” I smiled and pushed myself toward the glass tank where the baby turtle was lifting up its short neck and looked at me. “This one is imported from Germany. Very rare.” The chubby bald seller kept advertising.

This little turtle really grabbed my attention. I liked its shiny chessboard-like shell, which was very curvy and blended perfectly with the light and dark brown colours. I asked for permission to feed it. This turtle was friendly and seemed to get along with me well. I especially liked its sleepy-like eyes, which always starred at me. While I was enjoying inspecting the German turtle, and was about to make a decision, I heard a continuous bang from a cage nearby. The source of the noise came from a turtle’s all time rival. I turned my face to check out its features. With its long ears, red eyes, and white puffy hair, I was tempted to touch it. Soft, warm, and lovely. “This specie of rabbit is very popular. People like to hold and play with it.” Maybe my friend would prefer the rabbit as I also started to like it too, I doubted. So, which one should I get? I asked the seller. “Well, it depends. The turtle, especially this one is hard to find. You still can play with it but it’s different from the rabbit with which you can be more intimated with.” I sighed. The seller continued, “Another important fact is a turtle lives longer, probably it will die after the owner. You’ll probably escape the saddest part of having a pet. ” He laughed. “But well, the rabbit is really cute too. I’m sure while it’s still with you, you’ll always enjoy having it. I just can’t guarantee how long it will live for. Get both!” Cheap trick.

I wish both animals could speak; I would like to know if any of them would like to be bought or not. Decision, decision, decision… Abruptly, my concentration was dispersed by the high hysterical pitch from a 5-year-old girl who dragged her mother to the rabbit cage “I want this one! I want it NOW” I couldn’t help giving her a look as my hand was still stroking on the rabbit. She started to cry, got really mad, and told me to leave the rabbit while the rabbit was also jumping away from me. The turtle was still in the same motion; still planting its eyes on me. With this threatening pressure, it eased me to make a final decision...

Long live the turtle!

That memory of gift decision-making process enhanced me to re-access my own hesitation. I nearly bought the turtle in the first instance, as I knew deep down that it would be a perfect present. I shouldn’t have been distracted with other factors. I was jealous at that young girl, who knew exactly what she wanted and was able to express her true feelings shamelessly.

Big Day : The Theme (18/09/04)

As luck brought us to know each other, Luck is part of love became our theme of the wedding. We put symbol of luck into the invitation card, gift for all guests, presentation slide, and some toys on the table.


We chose fortune cookie as a visual for our invitation. Normally, people will get a cookie from the restaurant before they start their meal. There is a hidden lucky message inside the cookie. It's kinda fun and exciting. We used the copy "You're invited" implying you're lucky to be invited hehehe... The graphic was designed by my lovely senior friend, P'Noom Satit, a graphic designer from SC Matchbox advertising agency. Thanks a bunch for this gorgeous card :)


Ta-dah...Here you go. We put the real fortune cookies on a small plate in every tables in the ballroom. I'm so glad that many guests enjoyed cracking it and reading the message inside. Some of them shared me some of their good ones such as "You're in the good hands tonight" , " A clear conscience is far more valuable than money", " Experience is the same. Everyone gives to their mistakes", and " To love is to risk getting hurt. Not to risk loving is the greatest risk of all" ....



Tarot cards were chosen to be symbols telling our story through the presentation slides. Between each card, we put pictures of us relating to the meaning of cards. Firstly, The Lover, needless to say the meaning is obviously known. We picked the lover to be the first card to present who we are. The Six of Cups was followed to present our kiddie lives as the card meaning is about 'the past'. Next, The Magician, this card represents the meaning of communication or soul mate found. Personally, I quite fond of this card as it's the key of our relationship.



After that Matt came to see me in Bangkok and we had our first trip at Surin Islands.
We chose The Fool to represent that part as it talks about taking part in the adventure or doing something challenging. The meaning of the next card, The Chariot, represents travelling so all the pictures there are about our trip in Thailand. After that when I decided to move to New Zealand, The Wheel of Fortune is picked to lead people to see my life in New Zealand. The meaning of Ace of Cups is marriage so we put this one at the very end of this slide show. The final card is the wild one. It's Ten of Cups which means happy family life. Wish us luck!


The Lottery was given to the guests at the reception. We compare our relationship like the lottery. Taking risk for the beginning and we feel like we won the first prize after we learn about each other. Though we always realise that the prize will be with us forever if we know how to manage.

Big Day : Announcement (4/4/04)

After making an announcement on 4th April 2004, we plan to have our wedding in Bangkok on 18th September 2004. As being a girl who wasn’t interested in wedding stuff before, I didn’t have much idea on how to organize the wedding or even the basic custom. The www became my best tool of all time My favourite sites are the knot, wedding channel, and wedding square.

Without spending too long to make a decision on things, we decided on place, reception style, and music straight away! Things had been organized quite smoothly since we got kind assistance from family and friends back home. There were so many things for us to work out such as theme, gown, and process of traditional Thai wedding.


I consider myself as a fuss less bride as I just want to make my wedding quick and easy.
To be honest, if my grandmother didn't want to see the wedding I bet you would never see me in the gown. This doesn't mean that marriage isn't important to me but I personally think that the most important thing is the feelings between 2 people and how we manage to live with that significant other. Anyhow, my one was happened on 18th September 2004 despite the fact that I was once saying "I will never have a wedding"

Monday 28 May 2007

Just Another Day : สับสน

เอ..ทำไมอยู่ๆชั้นก็อยากจะเขียนภาษาไทยขึ้นมาซะงั้นล่ะ ทั้งๆที่ตอนแรกอยากเก็บตรงนี้ไว้เพื่อให้คนที่อ่านภาษาไทยไม่ออกได้อ่าน (แมท แล้วก็เคหลิบ--เผื่อว่าแม่สอนไม่ดีอ่านไทยไม่ออกตอนโต) อย่างว่าแหละ ภาษาไทยมันก็ภาษาเราเองนี่ บางทีก็อยากจะถ่ายทอดความคิดความรู้สึกโดยที่ไม่ต้องคิดนาน

อย่างที่เคยบอกไว้ที่ บลอกแกงค์ วันก่อนโน้นว่าตอนนี้เป็นช่วงเบบี้บูมของคนที่นี่ วันนี้ก็มีข่าวแบบเบบี้เข้ามาอีกละ ว่าช่วงนี้นิวซีแลนด์กำลังรณรงค์การไม่ทำร้ายเด็ก เพราะช่วงหลังๆมานี่มีแต่ข่าวร้ายๆที่พ่อแม่ชอบทุบตีลูก ถึงแม้ว่าลูกจะเพิ่งเกิดมาไม่กี่เดือน สาเหตุก็มาจากความรำคาญนั่นแหละ บ้าว่ะ ตอนเด็กๆไม่เคยร้องกันเหรอไง

เมื่อเดือนที่แล้วรัฐบาลที่นี่ก็ออกก.ม.ห้ามพ่อแม่ตีเด็กโดยเด็ดขาด ชั้นว่าอันนี้มันก็เกินไป เพราะมันรวมไปถึงการตีเพื่ออบรมสั่งสอน วันก่อนชั้นตีมือเคหลิบเพราะชอบเอาไปแหย่ปลั๊ก เพื่อที่ให้เคหลิบจำ แม่ของแมทก็แซวเราว่าระวังโดนตำรวจจับ 55 หนักไปกว่านั้นเคหลิบดันหัวเราะชอบใจซะอีก นึกว่าเล่นด้วย เด็กบ๊อง

ก.ม.ตัวนี้กว่าจะคลอดออกมา พ่อแม่หลายๆคนก็ออกไปประท้วงว่ามันไม่ make sense ชั้นก็ว่างั้น แต่ในที่สุดเค้าก็เข็นมันจนผ่านออกมาได้ สรุปว่าชั้นคงต้องแอบตีลูกไม่ให้คนอื่นเห็น อ้าว..นึกว่าชั้นจะไม่ตีลูกเหรอ ไม่ได้หรอก ต้องมีบ้างน่ะ

แต่ทีชั้นเห็นด้วยกับนโยบายตัวใหม่ของคนที่นี่ก็คือ เค้้าเพิ่มวิชา เลี้ยงเด็กอ่อน เป็นวิชาบังคับให้กับนักเรียนชั้นประถม วันก่อนดูข่าว เค้าก็เอาเด็กอ่อนๆนี่แหละ ไปในห้องเรียน ให้นักเรียนสังเกตดูว่าเด็กในวัยนี้มีพัฒนาการด้านไหนบ้าง ต้องดูแลยังไง ชั้นว่าเป็นความคิดที่ดีทีเดียว การปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆแบบนี้ ตัวชั้นเองก็มีประสบการณ์จริงเพราะว่าชั้นมีน้องตอนชั้น 6 ขวบ ชั้นได้เรียนรู้เรื่องเด็กเล็กๆตั้งแต่ชั้นเริ่มรู้ภาษา นี่แหละเป็นสาเหตุที่ชั้นสามารถทนกับภาวะต่างๆของเคหลิบตัวแสบ
ได้อย่างที่หลายๆคนประหลาดใจ

บางทีชั้นก็สับสนว่าชั้นควรจะมีลูกกี่คนดี การมีลูกคนเดียวมันก็สะดวกดี แถมชั้นยังมั่นใจว่าชั้นดูแลลูกได้อย่างทั่วถึง แต่มีลูกสองคนอย่างครอบครัวชั้น มันก็เป็นการช่วยให้เด็กๆรู้จักการแบ่งปัน อดทน เสียสละ เห็นอกเห็นใจกันได้อย่างดี...
ชั้นไม่ได้หมายความว่าการเป็นลูกคนเดียวไม่ดี เพราะชั้นมีเพื่อนที่เป็นลูกคนเดียวที่นิสัยดีน่ารักตั้งหลายคน
ไม่รู้ดิ ชั้นตอบตัวเองไม่ได้ว่าชั้นอยากจะมีชีวิตครอบครัวแบบไหน

ชั้นเป็นคนไม่ชอบวางแผน ที่ผ่านมาทุกอย่างก็มักจะเกิดขึ้นไปตามธรรมชาติ ยิ่งวางแผนก็จะยิ่งออกไปนอกลู่ เฮ้อ สับสน ชั้นว่าปล่อยมันเป็นไปเหมือนทุกทีดีกว่า...